วันพระขึ้น ๑๕ ค่ำ
เดือนสิบนี้ ชาวจีนถือเอาเป็นวันไหว้พระจันทร์
คนภาคกลาง เรียกว่า
เป็นบุญข้าวสารท คนไทยภาคเหนือ เรียกว่า วันทำบุญสลากภัตร (เชียงใหม่เรียกว่าบุญ
๑๒ เป็ง) พี่น้องชาวใต้ เรียกว่า
บุญชิงเปรต อีสาน เรียกว่า
บุญข้าวสาก
พิธีทำบุญข้าวสาก
ชาวบ้านจะเตรียมอาหารชนิดต่าง ๆ
ห่อด้วยใบตองไว้แต่เช้ามืด ข้าวสากจะห่อด้วยใบตองกล้วยกลัดหัว
กลัดท้าย มีรูปคล้ายกลีบข้าวต้มแต่ไม่พับสั้น
ต้องเย็บติดกันเป็นคู่ ห่อที่ 1 คือ
หมาก พลู และ บุหรี่
ห่อที่ 2 คือ อาหารคาวหวาน
อย่างละเล็กอย่างละน้อย ประกอบด้วย
1. ข้าวเหนียว เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู
และใส่ลงไปอย่างละเล็กอย่างละน้อยถือเป็นอาหารคาว
2. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง แตงโม สับปะรด ฟักทอง (แล้วแต่จะเลือกใส่)
เป็นอาหารหวาน
วันขึ้น
15 ค่ำ เดือน 10 ตอนเช้าจะนำภัตตาหารไปถวายพระภิกษุสามเณรครั้งหนึ่งก่อน
พอถึงเวลาประมาณ 9 - 10 โมงเช้า
พระสงฆ์จะตีกลองโฮม(รวม) ญาติโยมจะนำอาหารที่เตรียมไว้มาถวายพระสงฆ์
โดยการถวายจะใช้วิธีจับสลาก เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว
ผู้ที่เป็นหัวหน้าจะกล่าวนำคำถวายสลากภัต
ญาติโยมว่าตามจบแล้วนำไปให้พระเณรจับสลาก พระเณรจับได้สลากของใคร
ผู้เป็นเจ้าของพาข้าว(สำรับกับข้าว)และเครื่องปัจจัยไทยทานก็นำไปประเคนให้พระรูปนั้นๆ
จากนั้นพระเณรจะฉันเพล
ให้พรญาติโยมจะพากันรับพรแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว เสร็จจากนี้แล้ว ชาวบ้านยังนำเอาห่อข้าวสากไปวางไว้ตามบริเวณวัด
พร้อมจุดเทียนและบอกกล่าวให้ญาติมิตรผู้ล่วงลับไปแล้วมารับเอาอาหารและผลบุญที่อุทิศให้
นอกจากนี้ ชาวบ้านจะนำอาหารไปเลี้ยง
ตาแฮก ณ ที่นาของตนด้วย เป็นเสร็จพิธีทำบุญข้าวสาก
ตามตำนานของคนอีสานเล่าถึงมูลเหตูที่มีการทำบุญข้าวสาก
มีเรื่องเล่าไว้ในธรรมบทว่า มีบุตรชายกฎุมพี(คนมั่งมี)ผู้หนึ่ง
เมื่อพ่อสิ้นชีวิตแล้วแม่ได้หาหญิงผู้มีอายุและตระกูลเสมอกันมาเป็นภรรยา
แต่อยู่ด้วยกันหลายปีไม่มีบุตร แม่จึงหาหญิงอื่นมาให้เป็นภรรยาอีก
ต่อมาเมียน้อยมีลูก เมียหลวงอิจฉา จึงคิดฆ่าทั้งลูกและเมียน้อยเสีย
ฝ่ายเมียน้อยเมื่อก่อนจะตายก็คิดอาฆาตเมียหลวงไว้
ชาติต่อมาฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นแมว อีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นไก่
แมวจึงกินไก่และไข่ ชาติต่อมาฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นเสือ
อีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นกวาง เสือจึงกินกวางและลูก ชาติสุดท้าย
ฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นคนอีกฝ่ายหนึ่งไปเกิดเป็นยักษิณี
พอฝ่ายคนแต่งงานคลอดลูก นางยักษิณีจองเวร
ได้ตามไปกินลูกถึงสองครั้งต่อมามีครรภ์ที่สาม
นางได้หนีไปอยู่กับพ่อแม่ของตนพร้อมกับสามี
เมื่อคลอดลูกเห็นว่าปลอดภัยแล้วจึงพร้อมด้วยสามีและลูกกลับบ้าน
พอดีนางยักษิณีมาพบเข้า นางยักษิณีจึงไล่นาง สามีและลูก
นางจึงพาลูกหนีพร้อมกับสามีเข้าไปยังเชตวันมหาวิหาร
ซึ่งพอดีพระพุทธเจ้ากำลังทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ นางและสามีจึงนำลูกน้อยไปถวายขอชีวิตไว้
นางยักษ์จะตามเข้าไปในเชตวันมหาวิหารไม่ได้ เพราะถูกเทวดากางกั้นไว้
พระพุทธเจ้าจึงโปรดให้พระอานนท์ไปเรียกนางยักษ์เข้ามาฟังพระธรรมเทศนา
พระองค์ทรงสั่งสอนไม่ให้พยาบาทจองเวรกัน แล้วจึงโปรดให้นางยักษ์ไปอยู่ตามหัวไร่ปลายนา นางยักษ์ตนนี้มีความรู้เกณฑ์เกี่ยวกับฝนและน้ำดีปีไหนฝนจะตกดีปีไหนฝนจะตกไม่ดี
จะแจ้งให้ชาวเมืองได้ทราบ ชาวเมืองให้ความนับถือมาก
จึงได้นำอาหารไปส่งนางยักษ์อย่างบริบูรณ์สม่ำเสมอ
นางยักษ์จึงได้นำเอาอาหารเหล่านั้นไปถวายเป็นสลากภัต
แด่พระภิกษุสงฆ์วันละแปดที่เป็นประจำ ชาวอิสาน จึงถือเอาการถวายสลากภัต
หรือบุญข้าวสากนี้เป็นประเพณีสืบต่อกันมา และเมื่อถึงวันทำบุญข้าวสาก
นอกจากนำข้าวสากไปถวายพระภิกษุ
และวางไว้บริเวณวัดเพื่ออุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติผู้ล่วงลับไปแล้ว
ชาวนาจะเอาอาหารไปเลี้ยงนางยักษ์
หรือผีเสื้อนาในบริเวณนาของตนเปลี่ยนเรียกนางยักษ์ว่า " ตาแฮก
"
ความเป็นมาของสลากภัตตทาน
ในสมัยหนึ่งพุทธองค์ได้เสด็จไปกรุงพาราณสี
ในคราวนี้นบุรุษเข็ญใจ พาภรรยาประกอบอาชีพตัดฟืนขายเป็นนิตย์เสมอมา
เขาเป็นคนเลื่อมใสพระพุทธศาสนายิ่งนัก วันหนึ่งเขาได้ปรึกษากับภรรยาว่า
"เรายากจนในปัจจุบันนี้เพราะไม่เคยทำบุญ-ให้ทาน
รักษาศีลแต่ละบรรพกาลเลย ดังนั้นจึงควรที่เราจักได้ทำบุญกุศล
อันจักเป็นที่พึ่งของตนในสัมปรายภพ-ชาติหน้า"ภรรยาได้ฟังดังนี้แล้ว
ก็พลอยเห็นดีด้วย จึงในวันหนึ่งเขาทั้งสองได้พากันเข้าป่าเก็บผักหักฟืนมาขายได้ทรัพย์แล้วได้นำไปจ่ายเป็นค่าหม้อข้าว
1 ใบ หม้อแกง 1 ใบ อ้อย 4
ลำ กล้วย 4 ลูก
นำมาจัดแจงลงในสำรับเรียบร้อยแล้วนำออกไปยังวัด
เพื่อถวายเป็นสลากภัตตทานพร้อมอุบาสกอุบาสิกาเหล่าอื่น
สามีภรรยาจับสลากถูกพระภิกษุรูปหนึ่งแล้วมีใจยินดี
จึงน้อมภัตตาหารของตนเข้าไปถวายเสร็จแล้วได้หลั่งน้ำทักษิโณทกให้ตกลงเหนือแผ่นปฐพีแล้วตั้งความปราถนา
"ด้วยผลทานทั้งนี้ข้าพเจ้าเกิดในปรภพใดๆ
ขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็นใจไร้ทรัพย์เหมือนดังในชาตินี้
โปรดอย่าได้มีแก่ข้าพเจ้าทั้งสองเลย ขอให้ข้าพเจ้าทั้งสองเป็นผู้มั่งคั่งสมบูรณ์เพียบพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติและมีฤทธิ์เดชมาก
ในปรภพภายภาคหน้าโน้นเถิด" ดังนั้น ครั้นสองสามีภรรยานั้นอยู่พอสมควรแก่อายุขัยแล้วก็ดับชีพวายชนม์ไปตามสภาพของสังขาร
ด้วยอานิสงฆ์แห่งสลากภัตตทาน จึงได้ไปเกิดเป็นเทพบุตร
เทพธิดาในดาวดึงส์สวรรค์
เสวยสมบัติทิพย์อยู่ในวิมานทองอันผุดผ่องโสภาตระการยิ่งนัก
พร้อมพรั่งไปด้วยแสนสุรางค์นางเทพอัปสรห้อมล้อมเป็นบริวาร
มีนามบรรหารว่า "สลากภัตตเทพบุตรเทพธิดา"กาล กตวา
ครั้นจุติเลื่อนจากสวรรค์แล้วก็ได้ลงมาเกิดเป็นกษัตริย์ในเมืองพาราณสี
มีพระนามว่าพระเจ้าสัทธาดิส เสวยราชสมบัติอยู่ 84,000 ปี ครั้นเบื่อหน่ายจึงเสด็จออกบรรพชา
ครั้นสูญสิ้นชีวาลงแล้วก็ได้ไปเกิดในพรหมโลก
และต่อมาก็ได้มาอุบัติเป็นพระตถาคตของเรานั่นเอง
นี่คืออานิสงฆ์แห่งการถวายสลากภัตต์ นับว่ายิ่งใหญ่ไพศาลยิ่งนัก
สามารถอำนวยสุขสวัสดิ์แก่ผู้บำเพ็ญทั้งชาติมนุษย์และสวรรค์
ในที่สุดถึงความเป็นพระพุทธเจ้าได้
คำถวายสลากภัต
เอตานิมะนังภันเต
สะจากะภัตตานิ สะปะริวารานิ อะสุภัฏฐานน ฐะปิตานิ ภิกขุสังฆัสสะ โอโณชะยามะ สาธุโน
ภันเตอภิกขุสังโฆ เอตานิ สะลากะภัตตานิ สะปะริวารานิ ปะฏิคัณหาตุ อัมหากัง
ทีฆะรัตตัง หิตายะ สุขายะ
คำแปล
ข้าแต่พระภิกษุสงฆ์ผู้เจริญ ภัตตาหารกับทั้งบริวารทั้งหลายเหล่านั้น
ซึ่งตั้งไว้ ณ ที่โน้น ข้าพเจ้าทั้งหลายขอน้อมถวายแด่พระภิกษุสงฆ์
ขอพระภิกษุสงฆ์จงรับซึ่งภัตตาหารพร้อมทั้งของที่เป็นบริวารเหล่านี้ของข้าพเจ้าทั้งหลายเพื่อประโยชน์และความสุขแก่ข้าพเจ้าทั้งหลาย
สิ้นกาลนานเทอญ.
พิธีกรรม
เมื่อถึงวันขึ้น 14 ค่ำ เดือน 10 ญาติโยมจะเตรียมอาหาร คาวหวาน และหมากพลู บุหรี่ พอเข้าวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 10 ญาติโยมจะพากันทำบุญใส่บาตร พอถึงเวลาประมาณ
9 – 10 โมงเช้า พระสงฆ์จะตีกลองโฮม(รวม)
ญาติโยมจะนำอาหารที่เตรียมถวายพระสงฆ์และห่อข้าวน้อยซึ่งมีอาหารคาวหวาน
อย่างละเล็กอย่างละน้อยแต่ละห่อประกอบด้วย
1. ข้าวเหนียว เนื้อปลา เนื้อไก่ หมู
และใส่ลงไปอย่างละเล็กอย่างละน้อยถือเป็นอาหารคาว
2. กล้วย น้อยหน่า ฝรั่ง แตงโม สับปะรด ฟักทอง
(แล้วแต่จะเลือกใส่)เป็นอาหารหวาน
หลังจากนำอาหารที่เตรียมห่อเป็นคู่ๆ
นำมาผูกกันเป็นพวงแล้วแต่จะใส่กี่ห่อก็ได้ส่วนใหญ่จะใช้ 10 คู่
เมื่อนำไปเลี้ยง “ผีตาแฮก” ที่นาของตนเองด้วย
โดยมีความเชื่อว่าจะทำให้ผีตาแฮกพอใจ และช่วยดูแลข้าวกล้าในนาให้งอกงามสมบูรณ์
ตลอดจนช่วยขับไล่ศัตรูข้าวได้แก่ นก หนู ปูนา
ไม่ให้มาทำลายต้นข้าวในนาอีกส่วนหนึ่ง เมื่อนำอาหารมาถึงศาลาวัดที่จะทำบุญแล้ว
เขียนชื่อของตนลงในกระดาษ ม้วนลงใส่ในบาตร เมื่อทุกคนมาพร้อมกันแล้ว
ผู้ที่จะเป็นหัวหน้ากล่าวนำคำถวายสลากภัต ญาติโยมว่าตามจบแล้วนำไปให้พระเณร
จับสลากที่อยู่ในบาตร พระเณรจับได้สลากของใคร
ผู้เป็นเจ้าของพาข้าว(สำรับกับข้าว)และเครื่องปัจจัยไทยทานก็นำไปประเคนให้พระรูปนั้นๆ
จากนั้นพระเณรจะฉันเพล
ให้พรญาติโยมจะพากันรับพรแล้วกรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลไปให้ญาติพี่น้องที่ล่วงลับไปแล้ว
ข้าวสากที่เตรียมไว้อย่างดี
พร้อมน้อมไปอุทิศทานส่งผลาบุญ
|
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น